รวมปัญหาของคนทำธุรกิจและวิธีแก้ไข (ชื่อเดิม "เป็นได้มากกว่านักธุรกิจ")

ผมเขียนคํานําของหนังสือ เป็นได้มากกว่านักธุรกิจเล่มนี้ในตอนบ่ายแก่ๆ ท่ามกลางแสงแดดจ้า สาดทอไปที่ใบไม้ไม่มีการกระดิกพลิกไหวใดๆ อารมณ์ ความรู้สึก ณ. ยามนี้ต้องบอกว่า นิ่งครับ

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนังสือถามตอบทางกฎหมายธุรกิจเล่มที่ 2 ต่อจาก หนังสือเป็นได้แค่นักธุรกิจไม่พอ เนื้อหาของหนังสือพุ่งตรงไปที่ปัญหา ทําธุรกิจต้องประสบพบเจอ ยังไงก็ต้องเจอ

ที่ผมเขียนไปว่า ยังไงคนทําธุรกิจก็ต้องเจอ เป็นเพราะบริษัทของผมก่อร่าง สร้างตัวขึ้นมาด้วยอาชีพที่ปรึกษาทางการเงินและกฎหมาย นอกจากนี้วันดี คืนดี ผมในฐานะผู้ให้กําเนิดบริษัทก็กระโดดลงไปลุยในธุรกิจหลายธุรกิจ ผมลุยดะมา 16 ปี ปรากฏบาดแผลจากการโดนขบกัดในธุรกิจมาอย่างบอบช้ำ จน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

บาดแผลที่เกิดขึ้นกับผม ผมพูดได้อย่างไม่อายว่าเกิดจากการไม่รู้สัจธรรม ดําเนินชีวิตและธุรกิจ เกิดจากความไม่รู้ว่า ข้อกฎหมายที่บัญญัติเรื่องเกี่ยวข้องกับการทําธุรกิจมีว่าไว้เช่นไร อย่างกรณีการตั้งบริษัทเมื่อ 1

มีปัญหาการจดทะเบียนบริษัท การเรียกค่าหุ้น การตั้งข้อบังคับไม่ให้เสีย เปรียบมีวิธีการอย่างไร การค้าขายบทเวลาที่ถูกโกงถูกเบี้ยวจําเป็นจะต้อง ฟ้องคดีภายใต้ระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดผมก็ไม่รู้ บทเวลาที่พวกตีเช็คจ่ายค่าสินค้าไม่ลงวันที่แล้วเด้ง ผมก็ไม่รู้ว่าฟ้องเป็นคดีอาญาไม่ได้ เพราะแค่เรื่องขี้หมาว่าเช็คไม่ลงวันที่ ไม่มีวันที่คนออกเช็คกระทําความผิด งานนี้ผมก็ฟ้องคดีทางแพ่ง ซึ่งฟ้องไปก็ไม่ได้อะไร สุดท้ายหนี้จาก 100 บาท ก็อโหสิกรรมให้ซะ ขอกูแค่ 30 บาทก็พอ

บาดแผลที่เขียนยังไม่หมด อย่างเพื่อนที่เข้ามาเป็นกรรมการบริษัท ทําไปทํามาดันขโมยความลับทางธุรกิจไปให้พ่อมันเปิดกิจการแข่ง ผมก็ไม่รู้จะจัดการ อย่างไรกับมันดี อย่างบทเวลาที่ผมเข้าไปลงทุนในธุรกิจในฐานะผู้ถือหุ้น มันไม่เคยที่จะเรียกผมให้เข้าประชุมผู้ถือหุ้นเลย งบการเงินมันก็อนุมัติกันเอง แต่มองตาปริบๆ แล้วก็ได้แต่บอกกับตัวเอง ว่าก็เรามันถือหุ้นนิดเดียวนี ต้องทําใจนะซิ เราไม่ได้มีสิทธิมากมายอะไรอย่างกับผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว กรรมการบริษัทมันปลอมรายงานการประชุม อนุมัติงบการเงินยื่นกระทรวงพาณิชย์และสรรพากรทุกปี โดยไม่เคยเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นใหญ่เลย ผมยังไม่รู้เลยว่า สามารถจะจับกรรมการบริษัทติดคุกได้ 7 ปี เรื่องขี้หมาแบบนี้ผมไม่รู้เลย เป็นไปได้อย่างไร

บาดแผลที่เคยเกิดขึ้นกับผม ผมสังเกตมาตลอดหลายปี หลังจากที่ผมเริ่มออก อาการของหมาแก่ ที่หยุดเห่าหอนกับเรื่องราวที่ไร้สาระ หันมาพิจารณาตนเอง สงบ นิ่ง และสมถะ ค้นหาความจริงของวิธีการดําเนินธุรกิจที่ถูกต้อง ว่ามันคืออะไรกันแน่ จนวันหนึ่ง ผมก็รู้วิธีการที่จะไม่ให้เกิดบาดแผล ซึ่งก็คือวิธีการที่จะไม่ปฏิบัติงานผิดพลาดไปจากที่กฎหมายกําหนด

เมื่อผมพบวิธีการ ผมก็พบว่า รอบข้างตัวผม...เหล่าคนทําธุรกิจที่ฝันจะเป็นนายเหนือตัวเอง ฝันว่าจะรวยให้ได้ เอ๊ะมันเกิดปัญหาแบบเดียวกับผมเลยนี่หว่า 16 ปีแล้วนะโว้ย ปัญหาก็ยังเหมือนกันกับผม ผมจึงถึงบางอ้อว่า อ๋อหลักกํามือเดียวที่พระพุทธเจ้าเฝ้าสอนเรื่องใบไม้ทั้งป่า แต่คัดเอามาสอนชี้นำกำมือเดียว เพื่อให้คนที่ตั้งใจจะรับใบไม้กํามือเดียวกลายเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ต่ก็ไม่ต่างอะไรกับกํามือเดียวของคําถามและคําตอบที่ว่าด้วยเรื่องราวของการทํ ธุรกิจแล้วเกิดปัญหาขึ้น ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเป็นผลึกทางความคิด ธุรกิจยังไงก็จะต้องรู้ให้ได้ตามที่หนังสือเล่มนี้ได้เขียนอธิบาย

16 ปีแห่งความหลัง ที่ง่วนอยู่กับบาดแผลและการรักษาแผล เป็นความทรงจํา อันมีค่าที่ส่งผ่านเป็นตัวอักษรบอกเล่าให้คนทําธุรกิจอย่าได้เจอเหตุการ สร้างบาดแผลให้กับตัวเองและธุรกิจอีกเลย หรือถ้าหากว่าใครที่กําลังเยียวยาบาดแผลอยู่จะใช้หนังสือเล่มนี้หาวิธีการแก้ปัญหา ก็เชื่อว่า หนังสือเป็นได้มากกว่านักธุรกิจจะชี้แนวทางสว่างให้กับท่านได้ไม่มากก็น้อย

หนังสือเล่มนี้ยังคงนําเสนอด้วยคําถามที่จําลองมาจากเหตุการณ์จริงของ ลูกค้าของบริษัท นํามาปรุงแต่งสร้างอรรถรสในการอ่านด้วยฝีมือผม และส่งต่อให้ทนาย 2 ท่าน คือ ทนายชินโรจน์ และทนายวิเนตรได้ตอบแบบฟันธง ชนิดที่ท่านผู้อ่านคาดไม่ถึง ว่าเรื่องเล็กน้อยในความรู้สึกของคนทําธุรกิจ กลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ในทางกฎหมาย

งานนี้เมื่อท่านรู้ว่าเรื่องเล็กทําให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ งานนี้ท่านก็เป็นได้มากกว่านักธุรกิจแล้วครับ

คุณงามความดีของหนังสือเล่มนี้ ผมขอมอบให้แก่แม่ที่กําลังรอผมให้ไปอยู่ด้วย ผมคิดถึงแม่เสมอครับ

ชาย กิตติคุณาภรณ์
www.fpmcource.com
www.advicefpm.com
E-MAIL : sumrej2011@gmail.com

ผมได้มีโอกาสกลับมารับใช้ท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ผมได้เขียนหนังสือเป็นได้แค่นักธุรกิจไม่พอเล่มแรก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ต้องขอถือโอกาสนี้ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน รวมทั้งท่านที่ไม่ได้ซื้อหนังสือของผมก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงท่านหยิบหนังสือเป็นได้แค่นักธุรกิจไม่พอขึ้น ผมก็พอใจแล้ว

จากการที่ผมได้เขียนหนังสือเป็นได้แค่นักธุรกิจไม่พอเล่มแรก ทําให้ผมได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นมากมาย ทําให้ผมได้รู้ว่าการเป็นนักเขียนที่ดีนอกจากจะต มากคิดมากแล้ว ยังไม่พอ ต้องเป็นคนที่อ่านมากอีกด้วย เพื่อที่จะได้เรียน เกิดการพัฒนาเพิ่มขึ้น แต่ระยะทางของผมบนถนนสายนี้ยังคงอีกยาวไกล กว่าผมจะไปถึงที่หมาย ผมก็จะพยายามไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทําได้ตามคติประจําใจของผมว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น”

หนังสือที่ท่านกําลังอ่านอยู่นี้ ผมและทีมงานได้ปรับปรุงวิธีการเขียน เ ท่านผู้อ่านได้เข้าใจง่ายๆ อ่านสนุก จนอยากจะอ่านต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเล่มส ท้าย แต่ภาษากฎหมายบางครั้งก็เข้าใจยาก แม้จะแปลเป็นภาษาชาวบ้านแล้ว ก็ยังคงอ่านไม่รู้เรื่อง จนท่านผู้อ่านบางท่านคิดในใจว่า “อ้ายทนายคนนี้เขียนอะไรของมันว่ะ เขียนหนังสือออกมามีแต่เรื่องตลกๆ บ้าๆ บอๆ ถึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย ข้อตําหนิติเตียนของท่านผู้อ่าน ผมขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง แต่ถ้าหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดประโยชน์กับท่านผู้อ่านได้บ้าง

ขอยกความดีความชอบทั้งหมดนี้ให้แก่บิดามารดาและครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณของผม โดยเฉพาะคําพูดของคุณพ่อของผม ที่พูดว่า “พ่อไม่มีสมบัติอะไรให้เจ้านะ นอกจากวิชาความรู้ที่จะให้เจ้าได้เรียนรู้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะให้เจ้าใด้
เรียนรู้จนถึงเมื่อไหร่ เจ้าจะเอาหรือไม่เอา ก็ไปคิดดูเอาเองนะ” คําพูดของคุณ
พ่อของผมยังคงดังอยู่ในสมองของผมอยู่ตลอดเวลา จนถึงทุกวันนี้และคํา
พูดประโยคนี้ทําให้ผมมาถึงวันนี้ได้

สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าจะได้รับการตอบรับจากท่านผู้อ่านเหมือนเช่นเคยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้เป็นกําลังใจให้ผมได้ถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ความสามารถของผมออกมาให้กับท่านผู้อ่านได้อ่านกันในโอกาสต่อไป

ชินโรจน์ ศรัณย์สมบัติ

หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถในการทําธุรกิจอยู่แล้ว หรือที่กําลังคิดจะทําธุรกิจอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้มีพื้นฐานความรู้ทางกฎหมายมาก่อนเลย ได้ใช้เป็นคู่มือในการศึกษาให้เกิดความเข้าใจในการดําเนินธุรกิจ จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดจากการขาดความรู้ทางด้านกฎหมายซึ่งถือว่ามีความสําคัญมากๆ เพราะกฎหมายจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตคนเราเกือบทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะการทําธุรกิจแล้ว กฎหมายจะเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายโดยที่ท่านอาจไม่รู้ตัว หากท่านยอมที่จะศึกษาจากการ อ่านหนังสือกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจควบคู่ไปด้วย ท่านผู้อ่านจะไม่เกิดความผิดพลาดในการดําเนินธุรกิจ และหาทางออกเป็นการวางแผน ได้แต่เนิ่นๆ จะไม่ถูกเอาเปรียบจากคนรอบข้างและเพื่อนๆ ที่ทําธุรกิจด้วยการศึกษากฎหมายถือเป็นกําไรชีวิต ศึกษาแล้วจะนําพาธุรกิจโลดแล่นไปได้สวยอย่างใจหวัง

ฉะนั้น ในการทําธุรกิจหากมีความมุ่งมั่นและมีความทุ่มเทให้ธุรกิจเพื่อที่จะประสบความสําเร็จอย่างมั่นคง ก็จะต้องศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุริจควบคู่ไปด้วย จะมุ่งเน้นแต่การดูแลตัวเลขจากยอดขายหรือกําไรอย่างเดียว คงจะไม่เพียงพอ เพราะอาจเกิดความผิดพลาดหรือเพลี่ยงพล้ำให้กับคู่แข่งทางธุรกิจในแง่ของกฎหมายได้

ข้าพเจ้าจึงหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านที่ทําธุรกิจหรือที่กําลังคิดจะทําธุรกิจต่อไปในวันข้างหน้า จะได้ใช้หนังสือนี้เป็นคู่มือประกอบการทําธุรกิจของท่านให้เดินไปอย่างมั่นคง ปราศจากการถูกเอาเปรียบในทางกฎหมายต่อไป

และท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณบิดามารดา และคณะครูอาจารย์ทุกๆ ท่านที่ได้อบรมบ่มวิชาให้กับข้าพเจ้า จนสามารถถ่ายทอดความรู้ออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ ตลอดจนผู้มีอุปการะท่านอื่นๆ ที่ช่วยให้หนังสือเล่มนี้โดยสมบูรณ์

วิเนตร ผาจันทา (ทนายความ)