หากินเอง

ขึ้นทศวรรษที่ 3 ของกิจการ FPM CONSULTANT ที่ก่อร่าง สร้างตัวจากความฝันที่เกิดมาจากความรู้สึกของเด็กสลัมคนหนึ่ง ซึ่งก็คือผมเอง (ไอ้ชาย) ที่รู้สึกตั้งแต่ตอนเป็นเด็กอยู่ในสลัมว่า เราไม่ใช่คนจนเราต้องเป็นคนรวย และรวยมากๆ ด้วย

ความรู้สึกที่เป็นผลพวงของตาที่ 3 หรือตาใจที่พาให้เกิดจินตนาการ เห็นภาพตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ว่าในอนาคตยังไงก็ต้องเป็นเจ้าของกิจการ ทําธุรกิจของตัวเองแน่ๆ ไม่มีทางที่จะเป็นลูกจ้างไปชั่วชีวิตแน่

จินตนาการที่คลอดความรู้สึก พาให้ดิ้นรนหาว่าอะไรจะเป็นธุรกิจ ของเรา ท่ามกลางความยากจน ความขัดสนที่แม้จะกินในวัยเด็กยังไม่มี ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ได้แบบประคองตัวให้ตัวเองได้มีลมหายใจ เพื่อจะสังเกตเพื่อจะดูว่าอะไรที่กล้ํากรายเข้าสู่ชีวิตที่มอง แล้วน่าจะเป็นโอกาสให้เราได้กระโดดออกไปคว้าแล้วเบนเข็มสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ

ชีวิตการเป็นเจ้าของธุรกิจของผมจึงเริ่มต้นเร็วเหลือเกิน แค่อายุ 25 ปี ผมก็กระโดดออกมาทําธุรกิจส่วนตัวแล้ว ด้วยการใช้เงินทุน จากการกู้เงินนอกระบบ เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ระหว่างทางที่ผมสร้างกิจการมา มีเรื่องราวที่เป็นอุทาหรณ์ เป็นข้อคิดเป็นข้อเตือนใจเป็นข้อที่สามารถเอาไปเลียนแบบได้

ถ้ามีคนที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน แล้วกําลังลังเลว่าตัวเองจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรดี จะเป็นลูกจ้างต่อไปหรือจะเป็นเจ้าของธุรกิจ และถ้าหากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ข้อเขียนในหนังสือจะบอกคนอ่านได้ดี มันบอกว่า เคยมีคนบ้าที่ลุยธุรกิจด้วยความไม่พร้อมไม่มีเงินทุน แต่ที่กล้าลุย เพราะแค่เพียงในใจได้ยินเสียงกระซิบว่า ตัวเองจะต้องเป็นคนรวยเท่านั้น ก็กล้าเกินร้อยแล้วที่จะออกไปตายเอาดาบหน้า เพื่อทําความฝันของตัวเองให้เป็นจริง เพราะยังไงก็เชื่อว่าตัวเองต้องทําสําเร็จแน่ ตัวเองต้องไม่ตาย ต้องไม่ล้มเหลว

ข้อเขียนได้สื่อสารเล่าเรื่องการมองหาโอกาสของการทําธุรกิจ ที่จริงๆ แล้วแค่อยากรวย ก็สามารถจะมองเห็นโอกาสที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นแล้ว และเมื่อเห็นก็ไม่รีรอที่จะรีบออกไปทํา โดยไม่ต้องวางแผนอะไรเยอะ แค่เพียงถามใจตัวเองว่า ตัวเองทําได้ สามารถจัดการมันได้หรือไม่ แค่นี้การเกิดขึ้นของธุรกิจก็ไม่ได้มีอะไรที่ยากเกินไป ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่หาธุรกิจทําไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ความกลัวในจิตใจต่างหากที่กลัวไปต่างๆ นาๆ จนทําให้การเริ่ม ต้นเป็นเรื่องที่เอาไว้ก่อน เอาไว้ก่อน แล้วก็เอาไว้ก่อน

ข้อเขียนยังได้สื่อสารเล่าเรื่องของปัญหาที่กระหน่ําเข้าสู่ชีวิตและธุรกิจ ที่หากอ่านไปเรื่อยๆ จะเกิดการอินเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ พาให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับผมด้วย ว่าถ้าคนอ่านเจอเหตุการณ์ ปัญหาแบบที่ไอ้ชายเจอ คนอ่านจะแก้และจัดการกับปัญหาอย่างไร ซึ่งสําหรับผมแล้ว ผมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นแบบทดสอบจิตใจที่ถาม คนอ่านว่า ถ้าเจออย่างที่ผมเจอ แล้วจะสู้แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเฉลยโดยไอ้ชาย ที่บอกว่าตอบแบบผม ทําแบบผมแล้วรอด

อาจมีคนอ่านหลายคนที่ต้องเกิดคําถามขึ้นมาในใจแน่นอน ว่าแล้วถ้าไม่สําเร็จแบบที่ผมเจอ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นผมก็ขอตอบว่า ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ที่รู้แน่ๆ คนถามไม่ตายแน่นอน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น หากสู้กับปัญหาแบบยิบตา สู้แบบใช้สติและปัญญา ปัญหาจะสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาได้ และไม่เพียงปัญหาจะทําหน้าที่สร้าง ธุรกิจใหม่ขึ้นมาได้เอง ยังมีเรื่องของมือที่มองไม่เห็น (INVISIBLE HAND) มาช่วยสร้างด้วย ซึ่งเป็นการทําหน้าที่ของฟ้า ที่เรียกว่า ฟ้าลิขิต คนถามจึงไม่แพ้แน่นอน

หนังสือหากอ่านด้วยความตั้งใจ จะให้ความรู้มากมาย เป็นความรู้ด้านของจิตใจ ด้านของพลังวิเศษ ด้านของธรรม ด้านของการไม่ยอมแพ้ ด้านของการมองโลกในแง่ดี ด้านของการเห็นปัญหาเป็นโอกาส ด้านของการให้กําลังใจตัวเอง และด้านของการพัฒนาตัวเอง ที่ตลอดเรื่องของหนังสือแทรกอารมณ์ ความรู้สึกที่ สะเทือนใจตลอดเวลา ผู้อ่านจึงได้ทั้งความรู้ความบันเทิง และได้ ข้อคิดที่พาให้ผู้อ่านเองต้องย้อนกลับมาดู และถามตัวเองในหลายๆ เรื่องเปรียบเทียบกับเรื่องราวและความนึกคิดในใจของผม (ไอ้ชาย)

จะว่าว่าหนังสือเล่มนี้ ที่ชื่อว่า หากินเอง เป็นแรงบันดาลใจให้กับคน อ่านที่มีความฝันจะสร้างกิจการเป็นของตัวเอง ก็บอกว่า ใช่เลย

หากินเอง จะพาให้คนอ่านเป็นนกที่โบยบินออกจากกรง (เลิกเป็นลูก จ้าง) แล้วต่อสู้ครั้งใหญ่ในโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อนําพาความ ฝันของตัวเองให้เป็นจริง (เป็นเจ้าของธุรกิจ)


โดยส่วนตัว ผมว่าหนังสือ HOW TO สอนคนทําธุรกิจ ว่าทําอย่างไรจึงจะประสบความสําเร็จ ก็อาจสู้เล่มนี้ที่ชื่อว่า หากินเองไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้สร้างขึ้นจากเรื่องจริง (BASED ON A TRUE STORY) ที่ร่วมสมัยกับคนอ่านในทุกๆ เรื่อง ไม่เชื่อลองอ่านดูสิครับ

ชาย กิตติคุณาภรณ์
www.fpmcource.com,
www.advicefpm.com,
E-MAIL : sumrej2011@gmail.com