ในสมัยจอมพล ถนอม กิติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วงปลายสงครามเวียดนามรัฐบาลลาวได้ขอร้องให้ไทยส่งทหารไปร่วมรบ เพื่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ที่จีนและรัสเซียสนับสนุนให้เวียดนามเหนือใช้กำลังเข้าสู้รบตามแผนโดมิโน่ในลาวเป็นประเทศแรก ต่อจากนั้นจะรุกคืบสู่เขมรและไทยตามลำดับ หากได้ชัยชนะก็หวังยึดครองประเทศต่างๆ ในเอเชียให้อยู่ภายใต้การปกครองตามระบอบคอมมิวนิสต์ทั้งหมด สงครามครั้งนั้นถือว่าจีนรัสเซียและเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายละเมิดสนธิสัญญาเจนีวา
สัมพันธมิตรอเมริกาเห็นว่าเอเชียคืออู่ข้าวอู่น้ำของโลก โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตยุทธศาสตร์ส่วนหน้าสำคัญ ควรต้องรักษาไว้เพื่อดำรงฐานะทางสังคมเศรษฐกิจและการเมือง เมื่อฝ่ายหนึ่งละเมิดสัญญาได้ ฝ่ายสัมพันธมิตรย่อมสามารถทำได้เช่นเดียวกัน จึงได้สนับสนุนงบประมาณและอาวุธให้รัฐบาลลาวทำการสู้รบ โดยขอให้รัฐบาลไทยจัดกำลังเข้าสมทบให้การช่วยเหลือ
รัฐบาลไทยได้วิเคราะห์ว่าขณะนั้นลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นภัยร้ายแรงและกำลังรุกคืบใกล้เข้ามา ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสามสถาบันหลักของไทยอย่างแน่นอน ทั้งยังได้เห็นว่าหากมีการสู้รบเกิดขึ้นในประเทศไทย ย่อมทำให้ชีวิตทรัพย์สินของประชาชนต้องเสียหายมหาศาล จึงตัดสินใจส่ง “ทหารเสือพราน” รวม 30 กองพันไปร่วมรบในสงครามลับในลาว ทหารเสือพรานได้ทยอยเดินทางเข้าร่วมสู้รบในสามพื้นที่ของลาวตั้งแต่ปี 2512-2517 ตลอดเวลาเกือบ 5 ปี พวกเขาได้สู้รบด้วยความอดทนกล้าหาญ สามารถต้านข้าศึกและลัทธิคอมมิวนิสต์ให้สะดุดหยุดลง ณ สนามรบแห่งนั้น แต่ต้องแลกด้วยการบาดเจ็บล้มตายนับหมื่นชีวิต
วันที่วางขาย
28 สิงหาคม 2563