เรือปีศาจคลั่ง ทะเลหลอน

• ในที่สุด เรือที่นำโดยกัปตันเฮนดริกก็พบกับจุดจบอย่างน่าสยดสยอง มันอัปปางลงในทะเลคลั่งที่แหลมกู๊ดโฮป พร้อมกับชีวิตของทุกคนบนเรือลำนั้น และเป็นที่เชื่อกันว่า แม้เรือจะอับปางลงไปแล้วก็ตาม แต่บรรดาผีกัปตันและลูกเรือของเขานั้นต่างก็ยังคงมุ่งหน้าฟันฝ่าพายุทะเลคลั่งอย่างไม่มีวันจบสิ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงวันโลกาวินาศตามคำสาปแช่งของพระเจ้า (จาก “เรือปีศาจดัชท์แมน”)
• ภูตผีบนเรือหันมองพวกเขาราวกับสะใจเต็มที่สักพัก ก่อนที่จะหันกลับไปผจญเวรกรรมของมันต่อไปด้วยการต่อสู้กันเอง การดิ้นรนปล้นกัน การเอาทางเอาตัวรอด และสารพัดเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือก่อนที่มันจะจางหายไปในอากาศเฉยๆ (จาก “ภูติทะเลหลอนชาวประมง”)
• ไม่มีใครรู้ว่าอำนาจลึกลับใดที่ผลักดันให้เรือออคเตเวียสลอยมาจนถึงบริเวณกรีนแลนด์ได้ และทำไมศพของทุกคนบนเรือถึงไม่เน่าเปื่อยเหลือแต่กระดูกทั้งๆที่เวลาผ่านมาถึงกว่า 200 ปีแล้ว (จาก “ตายเย็นคาเรือ”)
• ชาวเกาะเชื้อสายซามอน(จากเกาะซาเมา)จำนวนไม่น้อยที่อาศัยอยู่ติดทะเลพากันอุทานอย่างตื่นเต้นหวาดกลัวเป็นที่สุดเมื่อพวกเขามองเห็นเรือโบราณขนาดใหญ่ลำหนึ่งซึ่งเป็นชนิดที่มีส่วนท้ายหนาสูงตามแบบฉบับเรือสมัยโคลัมบัสกำลังลอยลำไปตามพรายฟองร่องน้ำที่เรือยอร์ชโฮยิต้าทิ้งไว้บนผิวน้ำห่างกันไม่กี่นาที (จาก “เรือมรณะ”)
• เรือ เมดาน หรือ ออรังจ์ เมดาน ที่จอห์นเห็นนั้นแท้ที่จริงก็คือเรือที่ประสบชะตากรรมประหลาดกลางช่องแคบแห่งนี้ในปี ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) โดยที่มีคนไปพบทุกชีวิตบนเรือนอนตายเกลื่อนกลาดด้วยความตกใจกลัวในอำนาจลึกลับบางอย่างกลางช่องแคบแห่งนั้น ต่อมาคนที่ช่วยเหลือก็ต้องหนีเอาตัวรอดเมื่อได้กลิ่นน้ำมันท่วมเรือและเสียงระเบิดเป็นระยะๆภายในตัวเรือ (จาก “เรือผีสัญชาติดัชท์”)
• “เธอกรีดร้องอย่างสุดกำลังอีกครั้งสุดท้าย ก่อนที่ไฟจะกลืนร่างที่ทรงกายไม่ได้อยู่ของเธอม้วนหายไปกับพลังอำนาจอันมหาศาลของมัน และที่น่าประหลาดใจซ้ำขึ้นมาอีกก็คือ ผมเห็นเปลวไฟนั้นเป็นเปลวไฟสีเลือดแดงฉาน ลุกท่วมลำเรือ เปลวไฟนั้นสูงขึ้นไปจากลำเรือที่มันเผาผลาญนับได้ก็หลายสิบเมตร”..ตอนนั้น เราตั้งสติได้แล้ว และกำลังเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงให้พร้อมเพื่อจะไปดับไฟให้กับเรือโบราณลำนั้น แต่แล้วก็เหมือนมีค้อนปอนด์ขนาดยักษ์ฟาดเข้าใส่หน้าของเราทุกคนพร้อมๆกัน เมื่อภาพน่าสยดสยองที่เห็นเบื้องหน้าท่ามกลางสายหมอกยามเช้าก่อน 6 นาฬิกานั้น กลับจางหายไปต่อหน้าต่อตาช้าๆ” (จาก “เพลิงสีเลือดผลาญวิญญาณสาว”)
• เรือ ควีน แมรี่ นั้นมีชื่อเต็มๆว่า “เดอะ ควีน แมรี่” (The Queen Mary) มันเป็นเรือที่มีเสน่ห์ในหลายๆด้าน และมันเป็นความลงตัวในทุกๆด้านด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการตกแต่ง ความหรูหรา หรือแม้กระทั่งเป็นจุดที่เปรียบได้กับ “ประตูผี”ที่ดวงวิญญาณต่างๆสามารถมาพบเจอกับมนุษย์ได้ทั้งๆที่น่าจะอยู่กันคนละภพคนละโลก (จาก “สยองเรือสำราญ”)
• กัปตันเรืออูได้รับรายงานเรื่องนั้น และทันได้วิ่งขึ้นมาดูอาการของทหารชั้นประทวนที่ถูกผีหลอกอย่างจังพร้อมกับยังมีโอกาสได้ไล่สายตามองตามสิ่งที่ทำให้ทหารในสังกัดของเขาเกิดอาการช็อคตามไปได้และสายตาของเขาก็ไม่ได้หลอกลวงแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เขาเห็นกับสองตาของตัวเองก็คือภาพของทหารที่ตายไปแล้วนั้นยังคงจ้องมองมาที่เขาก่อนที่จะค่อยๆเลือนหายไป