หลักการตีความพระคัมภีร์

@แนะนำให้อ่านหนังสือนี้ควบคู่กับการดูคลิปวีดีโอการสอน
หลักการตีความพระคัมภีร์ ทั้งหมด 8ตอนตามLink Youtube จะทำให้เข้าใจมากขึ้น@
.
หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนมุ่งหมายเรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายมากที่สุด พร้อมกับตัวอักษรสี ไฮไลท์ และรูปภาพประกอบสวยงาม ที่จะช่วยทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจหลักการตีความพระคัมภีร์ที่ถูกต้องตามมาตรฐานแห่งความเชื่อของคริสตชน
.
หลักการสำคัญของคริสตชนคือการเชื่อว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด และมีความสมบูรณ์ในทุกด้าน การเชื่อในพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่เพียงแค่ยอมรับความถูกต้องของพระวจนะ แต่ยังต้องเชื่อว่าพระคัมภีร์ได้รับการเขียนภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งการทรงนำนี้ทำให้ข้อความในพระคัมภีร์เป็นการเปิดเผยแสดงพระประสงค์ของพระเจ้า (2 ทิโมธี 3:16, 2 เปโตร 1:21)
.
พระคริสตธรรมคัมภีร์ถูกถือว่าเป็นพระวจนะที่สมบูรณ์ในการเปิดเผยทุกสิ่งที่จำเป็นต่อความรอดของมนุษย์ ซึ่งไม่มีสิ่งใดที่จะขาดหายไป (2 ทิโมธี 3:17) คัมภีร์นี้ไม่เพียงเป็นแค่คำสอนในอดีต แต่ยังเป็นคู่มือที่สำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันของคริสตชนตลอดทุกยุคสมัย ซึ่งช่วยให้ผู้เชื่อเติบโตในความเชื่อและดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า
.
พระคัมภีร์จึงเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ โดยผ่าน "การศึกษา" และ "การนำไปใช้" ในชีวิตประจำวัน (ฮีบรู 4:12) ซึ่งการศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้คริสตชนสามารถเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้า และรับคำแนะนำจากพระองค์ในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
.
แต่การศึกษาพระคัมภีร์นั้นไม่ใช่เพียงแต่สามารถอ่านตัวอักษรเหล่านั้นได้แล้วจะเข้าใจความหมายที่ปรากฎอยู่ได้ทันทีทั้งหมด เนื่องจากพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาในประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 2,000-3,400ปี จึงทำให้เกิดอุปสรรคทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษา ต่อผู้อ่าน ดังนั้นการที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้องนั้น จึงจำเป็นต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานที่จะอ่านแล้วตีความหมายของพระคัมภีร์ในตอนนั้นๆ ซึ่งวิชาหลักการตีความพระคัมภีร์นี้ จะชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ความสำคัญของการศึกษาหลักการตีความ ประวัติศาสตร์ของการตีความในวิธีการต่างๆที่ผิดจากการมีข้อโต้แย้งต่างๆ จนมาถึงกระบวนการขั้นตอนวิธีการตีความที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เราควรยึดถือ และสุดท้ายก็คือการนำความหมายที่ถูกต้องนั้นมาประยุกต์ใช้ในการสั่งสอน เทศนา หรือนำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างไรต่อไปตามแต่บริบทของแต่ละคนต่อไป